ฝ้า/ผนัง เมทัลชีท ลอน 620-25
ฝ้า/ผนัง เมทัลชีท ลอน 620-25 เป็นการนำแผ่นเรียบเมทัลชีทมาขึ้นลอนคล้ายลอนลูกฟูก แต่ รูปลอนเป็นลอนลึก (Deep Corrugated) และมีความสูงสันลอนที่สูงกว่า 25 มม. แผ่นกว้าง 620 มม. ความกว้างสันลอนเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ดูทันสมัยดูสวยสะดุดตา
1. แผ่นลอนฝ้า และลอนผนังเหล็ก ความสูงสันลอน ความกว้างรวมประกบแล้ว รูปลอนเป็นลอนลึก มีความทันสมัยดูสวยสะดุดตา คล้ายลอนลูกฟูกสามารถติดตั้งฝ้าเพดาน แผงกั้นห้อง ประตูโรงงาน หรือแผ่นผนัง เหมาะกับงานทั้งงานภายใน และภายนอกอาคาร
2. รูปลอน มีสันลอนเป็นลักษณะเหลี่ยมยาวตลอดแนว จึงช่วยเพิ่มความแข็งแรงของตัวแผ่นได้ดี
3. การติดตั้งควรตรวจเช็คให้แนวแปได้ระดับระยะห่างโครงเคร่าที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 1 เมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหนาของแผ่นเมทัลชีท
4. สามารถต่อแผ่นได้โดยรอยต่อเรียบดูสวยงาม แนบสนิทกัน และติดตั้งสะดวกรวดเร็ว
5. ระบบติดตั้งเป็นแบบยิงสกรู (BOLT TYPE) ใช้สกรูยึด ขนาด 48 มม. และ 16 มม. สำหรับแปเหล็ก
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความนิยมในการเลือกใช้วัสดุเมทัลชีทมาทำหลังคาบ้านได้รับความนิยมสูงมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะบ้านสไตล์ Modern ที่ต้องการความเรียบแบน มีความชันของหลังคาต่ำ ซึ่งเมทัลชีทสามารถออกแบบหลังคาได้ต่ำสุดถึง 5 องศา (ขึ้นอยู่กับชนิดของรูปลอนและความยาวของระยะแปของหลังคา) แต่หากใช้วัสดุกระเบื้องหลังคาซีแพ็คทั่วไปจะไม่สามารถทำได้ ครั้นจะใช้หลังคา Slab คอนกรีตก็มีต้นทุนที่สูงกว่ากันมาก ทางเลือกในการนำเมทัลชีทมาใช้ทำหลังคาจึงได้คะแนนทั้งด้านดีไซน์ การติดตั้งที่รวดเร็ว และราคาก่อสร้าง
แต่ปัญหาหลัก ๆ ของการใช้เมทัลชีท คือ ความร้อน และมีเสียงดังรบกวนเมื่อฝนตก เนื้อหานี้ “บ้านไอเดีย” จึงขอพาไปทำความรู้จักกับเมทัลชีทให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านที่กำลังสร้างบ้านและกำลังตัดสินใจเลือกเมทัลชีท ได้รู้จุดเด่น จุดด้อยของเมทัลชีท และเลือกสเปคเมทัลชีทได้เหมาะสมกับการใช้งานครับ
เมทัลชีท คืออะไร?
เมทัลชีท (Metal Sheet) คือ แผ่นเหล็กรีดลอนโลหะผสมระหว่าง อลูมิเนียม และสังกะสี เหมาะสำหรับทั้งงานภายในและภายนอก งานผนัง งานรั้วและงานหลังคา คุณสมบัติเด่นชัดของเมทัลชีทคือสามารถสั่งผลิตตามขนาดความยาวของหลังคาได้ จึงทำให้เกิดรอยต่อของแผ่นหลังคาน้อย ปัญหารั่วซึมจึงน้อยกว่าหลังคากระเบื้องทั่วไป อีกทั้งยังช่วยให้การติดตั้งหลังคาสามารถดำเนินการได้ไว น้ำหนักเบา จึงช่วยลดต้นทุนค่าแรงก่อสร้างและค่าโครงสร้างบ้านได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันแผ่นเมทัลชีทมีให้เลือกหลายรุ่น หลายเกรด การนำมาใช้ร่วมกับบ้านจึงจำเป็นต้องกำหนดสเปคให้เหมาะสมแต่ละส่วนของบ้าน เพื่อให้เกิดการใช้งานที่สอดคล้องกับการอยู่อาศัย
1. ความหนาของเมทัลชีท มีผลกับคุณภาพ
แผ่นเหล็กเมทัลชีทที่มีขายในประเทศไทย จะมีความหนาประมาณ 0.28 – 0.5 mm โดยประมาณ ซึ่งความหนาจะมีผลกับความแข็งแรง ยิ่งหนา ยิ่งดี แต่ไม่ควรใช้หนาเกินความจำเป็น เพราะช่างและผู้รับเหมาจะไม่สามารถหาสินค้าได้และทำงานลำบาก เพราะแผ่นเมทัลชีทที่มีความหนาจะป้องกันการบุบยุบตัวได้มากกว่าแผ่นบาง และป้องกันเสียงจากฝนตกจะเสียงทุ้มกว่าแผ่นบางครับ โดยความหนาที่แนะนำสำหรับหลังคาหลักของบ้าน ควรหนาประมาณ 0.35 mm ขึ้นไป แต่หากเป็นสเปคที่สถาปนิกนิยมเลือกใช้ร่วมกับบ้านที่เน้นการออกแบบเป็นพิเศษ จะเลือกความหนาที่ 0.47 mm ขึ้นไปครับ
ส่วนจุดอื่น ๆ เช่น หลังคาซักล้าง หลังคาครัวไทย หลังคาโรงจอดรถ เป็นส่วนที่ไม่มีผลกระทบกับการอยู่อาศัยภายในบ้านมากนัก อาจเลือกรุ่นที่มีความหนา 0.3 mm ขึ้นไปเพื่อการลดต้นทุนได้ครับ ทั้งนี้ ความหนาของเมทัลชีทจะมีผลกับระยะแปหลังคา ยิ่งหนามากจะสามารถจัดวางแปในระยะห่างที่มากขึ้นได้ ช่างจึงควรตรวจเช็คความหนาของแผ่นเมทัลชีทให้มีความสัมพันธ์กับระยะแปหลังคา
2. เมทัลชีทเคลือบสี ช่วยให้บ้านเย็น ลดเสียงรบกวน
แผ่นเมทัลชีทที่ยังไม่ผ่านการเคลือบสีจะมีราคาถูกกว่า เหมาะกับการใช้งานอเนกประสงค์ อาทิ รั้วกั้นพื้นที่, หลังคาส่วนต่อเติม แต่หากนำมาใช้ร่วมกับหลังคาหลักของบ้าน แนะนำให้ควรเลือกชนิดที่ผ่านการเคลือบสีแล้ว เพราะสีที่เคลือบไม่ได้ช่วยแค่เรื่องความสวยงามแต่ยังเป็นแผ่นกันความร้อนหลังคาได้ดี โดยนวัตกรรมสียุคปัจจุบันมีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน ส่งผลให้ปริมาณความร้อนที่ทะลุผ่านหลังคาเมทัลชีทลดลงอย่างเห็นได้ชัดทำให้อุณหภูมิของบ้านเย็นกว่า สามารถประหยัดไฟจากเครื่องปรับอากาศได้
3. ฉนวนกันความร้อน เพื่อนแท้ของเมทัลชีท
ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการใช้เมทัลชีท คือ การติดตั้งเมทัลชีทโดยมีฉนวนกันความร้อน เพราะจะช่วยลดความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้านได้ดีขึ้น ปัจจุบันฉนวนกันความร้อนมีให้เลือกทั้งแบบสำเร็จรูปติดตั้งมาให้พร้อมกับแผ่นเมทัลชีท, แบบพ่นโฟม PU, แบบแผ่นวางใต้ฝ้าเพดาน หรือจะเลือกทำหลายอย่างพร้อมกันก็สามารถทำได้ครับ การติดตั้งฉนวนกันความร้อนไม่เพียงแค่ช่วยให้การอยู่อาศัยเย็นสบายขึ้น แต่ตัวฉนวนยังทำหน้าที่ป้องกันเสียงรบกวนได้ดีอีกด้วย ลดทั้งความร้อน ลดทั้งเสียงรบกวน คุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ
ผู้เขียนไม่ขอฟันธงว่า ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนในรูปแบบไหนดีกว่ากัน เพราะแต่ละแบบอาจขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งเกรดวัสดุ คุณภาพ ราคา แต่ขอแนะนำวิธีการเลือกซื้อตามค่าคุณสมบัติต่าง ๆ 2 ตัวหลัก ที่จะมีระบุไว้ชัดเจน โดยให้จำไว้ง่าย ๆ ว่า ค่า R ยิ่งมากยิ่งดี ค่า K ยิ่งน้อยยิ่งดี
วิธีการเลือกซื้อฉนวนกันความร้อนกับเมทัลชีทตามค่าคุณสมบัติ
- ค่า R (Resistivity): ค่าความต้านทานความร้อนของฉนวน ยิ่งต้านทานได้มากจะยิ่งดี นั่นหมายถึง ยิ่งตัวเลขมาก ยิ่งดีครับ
- ค่า K (K-value): ค่านำความร้อน ยิ่งนำความร้อนไดี ยิ่งส่งผลให้บ้านร้อนมาก เพราะฉะนั้นค่า K ควรมีน้อย ๆ ยิ่งตัวเลขน้อย ยิ่งดี
แผ่นฉนวนที่ติดมากับเมทัลชีทเดิมหลุด ทำอย่างไร
ปัญหาแผ่นฉนวนโฟม PU ที่ติดมาพร้อมกับเมทัลชีทหลุดมักเกิดขึ้นกับแผ่นเมทัลชีทด้อยคุณภาพ แต่หากเป็นแผ่น metal sheet คุณภาพสูงจะไม่ค่อยพบเจอปัญหานี้ โดยสาเหตุหลัก ๆ เกิดขึ้นจากกาวที่ติดฉนวนเสื่อมการใช้งาน หากเริ่มหลุดล่อนไม่มากนัก สามารถซื้อกาวที่ใช้สำหรับติดฉนวน PU มาซ่อมแซมได้ครับ หลังจากซ่อมแซมแล้วอาจติดตั้งแผ่นฝ้าไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้หลุดมากกว่าเดิม
แต่หากการหลุดล่อนเกิดขึ้นมาก จนยากที่จะใช้ของเดิมได้ ให้ทำการกำจัดฉนวนเดิมออกให้หมด และใช้ฉนวนกันร้อนแบบฉีดพ่นแทน การฉีดพ่นจะยึดติดได้ดีกว่าแบบติดกาวมากครับ
4. หลังคาสูงโปร่ง มีฝ้าเพดาน
ตามหลักการถ่ายเทความร้อน มวลความร้อนจะลอยตัวขึ้นสู่ที่สูงเสมอ หลักการนี้สถาปนิกนำมาใช้ร่วมกับการออกแบบบ้านครับ หากบ้านของเรามีพื้นที่โถงหลังคามากก็จะช่วยกันความร้อนได้มาก โดยออกแบบให้ภายในบ้านมีฝ้าเพดาน เพื่อให้ใต้หลังคามีพื้นที่ระบายอากาศ ฝ้าหลังคาจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันร้อนและกันเสียงได้อีกชั้น หากให้ดียิ่งขึ้นควรมีช่องระบายอากาศเพื่อส่งความร้อนที่สะสมบนฝ้าถ่ายเทออกนอกบ้าน ป้องกันการนำความร้อนเข้าสู่ภายในบ้านครับ
การนำเมทัลชีทมาใช้งานร่วมกับบ้าน ส่วนใหญ่จะคุ้นตากันในลักษณะหลังคาแบน หลังคาเพิงหมาแหงน แต่ในความเป็นจริงแล้วเมทัลชีทสามารถใช้งานร่วมกับรูปทรงหลังคาได้ทุกประเภท ทั้งจั่ว ปั้นหยา หลังคาโค้ง และอื่น ๆ ตามจินตนาการของผู้ออกแบบ ยิ่งออกแบบให้มีหลังคาสูงโปร่ง จะช่วยให้การระบายอากาศทำได้ดียิ่งขึ้น
5. เลือกเมทัลชีทแบรนด์ที่สถาปนิก วิศวกรแนะนำ
ปัจจุบันเมทัลชีทมีให้เลือกมากมาย หลายแหล่งผลิต หลายเกรดวัสดุ แต่ละรุ่นมีกระบวนการผลิต มีการเคลือบสีที่แตกต่างกัน สำหรับแบรนด์อันดับ 1 ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มสถาปนิกและวิศวกร คือ บลูสโคป แบรนด์ระดับโลกจากประเทศออสเตรเลีย ได้ก่อตั้งในประเทศไทยมากว่า 30 ปีแล้วครับ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นรายแรก ๆ ที่ได้นำวัสดุเมทัลชีทเข้ามาให้คนไทยได้ใช้งาน โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ คือ บลูสโคป แซคส์ (BlueScope Zacs) ที่ถือเป็นเมทัลชีทที่มีคุณภาพดี มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน ด้วย Cool coating Technology ที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า ทำให้อุณหภูมิของบ้านเย็นกว่า และประหยัดไฟได้มากกว่าเมทัลชีททั่วไป พร้อมทั้งการรับประกันไม่ผุกร่อน 12 ปี และสีไม่ซีดจาง 5 ปี โดยผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการผลิตโดยบลูสโคปนั้น จะมีการปั๊มตราใต้แผ่นเมทัลชีททั้งด้านบนแผ่นและด้านใต้แผ่นเสมอ ผู้ซื้อสามารถดูเพื่อตรวจเช็ค ตราสินค้าหลังแผ่นเมทัลชีทได้ ซึ่งจะตีพิมพ์อยู่ห่างจากขอบแผ่นประมาณ 15 เซนติเมตร ทุก ๆ ความยาว 5 เมตร และควรถามหาใบรับประกันทุกครั้งเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์บลูสโคป ไม่ว่าจากศูนย์เมทัลชีท บลูสโคป (BlueScope Authorized Dealer) หรือร้านค้าทั่วไปครับ
วัสดุก่อสร้างแต่ละประเภท ล้วนมีข้อดี ข้อด้อย ที่แตกต่างกันไป การพิจารณาถึงข้อดีของวัสดุดังกล่าวพร้อมกับหาแนวทางแก้ไขข้อด้อย จะช่วยให้เกิดการใช้งานที่เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับวัสดุเมทัลชีท แม้จะมีข้อเสียเรื่องความร้อนแต่ในขณะเดียวกัน เมทัลชีทเป็นวัสดุที่ไม่อมความร้อน หลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว บ้านที่ใช้หลังคาเมทัลชีทจะเย็นไวกว่าบ้านหลังคากระเบื้องคอนกรีตซึ่งมีคุณสมบัติอมความร้อน หากบ้านของเรามีการป้องกันความร้อนด้วยกระบวนการต่าง ๆ ตามที่ได้แนะนำไปในเนื้อหานี้แล้ว มั่นใจได้ว่า การอยู่อาศัยจะสุขสบายยิ่งกว่าเดิมมากครับ ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก https://www.banidea.com/matal-sheet-for-cool-house/